fbpx

SigenStor ที่ไม่ได้มาแค่ในฐานะ "อินเวอร์เตอร์" หรือแค่ "แบตเตอรี่" แต่มาในคอนเซ็ปต์ของ "ระบบนิเวศพลังงาน" ที่สมบูรณ์แบบ หรือ Ecosystem พลังงานครบวงจร ดังนั้นการที่จะเขียนอธิบายเลยต้องกล่าวรวมๆ ในบทความนี้

อ่านตอนแรก EP1 >>> ขอต้อนรับผู้เล่นหน้าใหม่ SIGENERGY แต่เก๋าเกมสู่ตลาดโซล่าร์ประเทศไทย! (Sigenergy EP1)

หัวใจของ SigenStor คือปรัชญาการออกแบบที่เรียกว่า "5-in-One" ซึ่งเป็นการปฏิวัติแนวคิดของระบบโซลาร์ไฮบริดแบบเดิมๆ ที่มักจะประกอบด้วยอุปกรณ์หลายชิ้นจากหลายผู้ผลิตมาต่อพ่วงกันอย่างซับซ้อน แต่ SigenStor ได้รวมเอา 5 ส่วนประกอบสำคัญไว้ในแพลตฟอร์มเดียวที่ทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ (มั๊ง) โดยในทางฟิสิคอล เราก็จะเห็นรูปร่างของ SigenStor เป็นกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้งต่อกันเป็นชั้นๆ ที่เราคุ้นชิน กับคำว่า ต่อกันเป็น สแต็ค

 

    

ข้อดีอย่างนึงที่เห็นชัดๆ คือไม่ต้องไปแยกอุปกรณ์หลายๆอย่าง ไปอยู่คนละที่ คนละทาง แต่ไม่ใช่ว่ามีชุดนี้แล้วจะไม่มีอะไรเพิ่มอีกนะครับ สไตล์โซล่าฮับ ก็จะยังมี ตู้ DC Fuse และ AC for Solar และก็มีของ Sigenergy เพิ่มอีกตัวนึงคือ Gateway เดี๊ยวจะค่อยทยอยกล่าวถึงแล้วกันนะ

 

  1. Solar Inverter (อินเวอร์เตอร์โซลาร์): ตัวแปลงพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นไฟฟ้ากระแสสลับสำหรับใช้ในบ้าน
  2. EV DC Charger (เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า DC): โมดูลเสริมสำหรับชาร์จรถ EV โดยตรงจากพลังงาน DC ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่า
  3. Battery PCS (ระบบแปลงไฟสำหรับแบตเตอรี่): วงจรควบคุมการชาร์จและจ่ายไฟของแบตเตอรี่
  4. Battery Pack (ชุดแบตเตอรี่): คลังเก็บพลังงานไฟฟ้า
  5. EMS (Energy Management System - ระบบจัดการพลังงาน): สมองกลอัจฉริยะที่คอยบริหารจัดการการไหลของพลังงานทั้งหมด

 

บทความ EPนี้ เน้นไปที่รุ่น Single Phase (ไฟบ้าน 1 เฟส) ที่เหมาะกับบ้านส่วนใหญ่ในประเทศไทย คือ SigenStor EC 5.0 SP และ SigenStor EC 10.0 SP เราจะมาดูกันว่าเทคโนโลยีที่อัดแน่นอยู่ข้างในนั้นทำงานอย่างไร มีดีแค่ไหน และที่สำคัญที่สุด มันจะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และคุ้มค่ากับการลงทุนสำหรับบ้านของคุณหรือไม่

แปลเทคให้เป็นไทย: ศัพท์โซลาร์ที่ต้องรู้ก่อนคุยกับช่าง >>> สไตล์ โซล่าฮับ ต้องจับมานั่งอ่านกันให้ตาลายกันไปข้างนึง ถ้าไม่เข้าใจ ห้ามลุกไปไหนเด็ดขาด...

ก่อนจะลงลึกถึงตัวผลิตภัณฑ์ เรามาปูพื้นฐานกันก่อนดีกว่า เพื่อให้คุณเข้าใจสเปคต่างๆ ได้เหมือนมือโปร และสามารถคุยกับช่างติดตั้งได้อย่างมั่นใจ โดยจะขอหยิบยืมคำอธิบายและภาพเปรียบเทียบที่เข้าใจง่ายจากคู่มือของ SolarHub มาใช้เป็นแนวทาง

Power (kW) vs. Energy (kWh): "ความเร็ว" กับ "ระยะทาง" ของไฟฟ้าในบ้านคุณ  สองคำนี้เป็นสิ่งที่คนมักสับสนที่สุด แต่จริงๆ แล้วมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง: 

  • กำลังไฟฟ้า (Power) มีหน่วยเป็น วัตต์ (W) หรือ กิโลวัตต์ (kW) เปรียบเสมือน "ความเร็วของรถยนต์" มันคือปริมาณไฟฟ้าที่เครื่องใช้ไฟฟ้า "กำลังกิน" อยู่ ณ ขณะนั้น เช่น แอร์ขนาด 1 ตัน อาจกินไฟประมาณ 1 kW (หรือวิ่งด้วยความเร็ว 100 กม./ชม.) ในขณะที่ทีวีกินไฟแค่ 100 W (อาจจะเหมือนเดินช้าๆ) ตัวเลขนี้จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาขึ้นอยู่กับว่าเราเปิด-ปิดหรือใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรบ้าง 5
  • พลังงานไฟฟ้า (Energy) มีหน่วยเป็น วัตต์-ชั่วโมง (Wh) หรือ กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) ซึ่ง 1 kWh ก็คือ "1 หน่วย" ที่เราเห็นในบิลค่าไฟนั่นเอง พลังงานไฟฟ้าเปรียบได้กับ "ระยะทางที่รถวิ่งได้" มันคือผลรวมของกำลังไฟฟ้าที่ใช้ไปตามระยะเวลา เช่น ถ้าเราเปิดแอร์ที่กินไฟ 1 kW เป็นเวลา 3 ชั่วโมง เราจะใช้พลังงานไป 1 kW×3 h=3 kWh หรือ 3 หน่วยนั่นเอง 5

การแยกสองคำนี้ออกจากกันเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมันจะช่วยให้เราเข้าใจว่า Inverter มีกำลัง (kW) เท่าไหร่ในการจ่ายไฟให้บ้าน และ Battery มีความจุพลังงาน (kWh) เท่าไหร่ในการเก็บไฟไว้ใช้

 SOC, SOH, และ DOD: เกจ์น้ำมัน สุขภาพ และความอึดของแบตเตอรี่ เมื่อพูดถึงแบตเตอรี่ จะมี 3 คำศัพท์หลักที่บ่งบอกสถานะของมัน: 

  • SOC (State of Charge): แปลตรงตัวคือ "สถานะการชาร์จ" ให้คิดง่ายๆ ว่ามันคือ "เกจ์น้ำมัน" ของแบตเตอรี่ บอกเป็นเปอร์เซ็นต์ว่าตอนนี้มีไฟเหลืออยู่เท่าไหร่ เช่น SOC 100% คือแบตเต็มถัง, SOC 20% คือไฟใกล้จะหมดแล้ว
  • SOH (State of Health): นี่คือ "ผลตรวจสุขภาพประจำปี" ของแบตเตอรี่ บอกเป็นเปอร์เซ็นต์เช่นกัน แบตเตอรี่ใหม่แกะกล่องจะมี SOH 100% แต่เมื่อผ่านการใช้งานไปหลายปี ความสามารถในการเก็บประจุจะค่อยๆ ลดลง SOH ก็จะลดลงตามไปด้วย เช่น เหลือ 80% หมายความว่าแบตเตอรี่ที่เคยจุได้ 10 kWh ตอนนี้จะจุได้เต็มที่แค่ 8 kWh เท่านั้น
  • DOD (Depth of Discharge): คือ "ความลึกของการคายประจุ" หรือพูดง่ายๆ คือ "พฤติกรรมการใช้พลังงาน" ของเรา ถ้าเราใช้แบตเตอรี่จาก 100% จนเหลือ 20% นั่นคือเราใช้ไป 80% หรือมี DOD เท่ากับ 80% แบตเตอรี่บางชนิด เช่น ตะกั่วกรด ไม่ควรใช้งานที่ DOD สูงๆ บ่อยๆ เพราะจะทำให้อายุสั้นลง แต่สำหรับแบตเตอรี่ LiFePO4 ที่ใช้ใน SigenStor ถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อการใช้งานที่ DOD สูงๆ ได้ดีกว่ามาก ทำให้เราสามารถดึงพลังงานที่เก็บไว้ออกมาใช้ได้เกือบทั้งหมดในแต่ละวัน

 ♦ MPPT: "ผู้ช่วยส่วนตัว" ของแผงโซลาร์  : MPPT (Maximum Power Point Tracking)

  • คือเทคโนโลยีอัจฉริยะที่อยู่ในอินเวอร์เตอร์ เปรียบเสมือน "ผู้ช่วยส่วนตัวที่คอยเค้นประสิทธิภาพสูงสุด" ให้กับแผงโซลาร์เซลล์ ลองนึกภาพว่าแผงโซลาร์ก็เหมือนนักร้องที่เสียงดี แต่บางทีก็ร้องผิดคีย์เพราะอารมณ์แปรปรวนตามสภาพอากาศ (แดดจ้า, เมฆบัง, อากาศร้อน) MPPT จะทำหน้าที่เป็นซาวด์เอนจิเนียร์ที่คอยปรับจูน "แรงดัน (Voltage)" และ "กระแส (Current)" ของแผงอยู่ตลอดเวลา เพื่อหา "จุดที่ลงตัวที่สุด" (Maximum Power Point) ที่จะทำให้แผงสามารถผลิตกำลังไฟฟ้า (Power) ออกมาได้สูงสุดในทุกๆ วินาที การมี MPPT ที่ดีและมีหลายตัวจึงหมายถึงการเก็บเกี่ยวพลังงานจากแสงอาทิตย์ได้มากขึ้นนั่นเอง

♦ ผ่าหัวใจระบบ: SigenStor EC 5.0 SP vs. 10.0 SP หมัดต่อหมัด 

  • เมื่อเราเข้าใจศัพท์เทคนิคพื้นฐานกันแล้ว ก็ถึงเวลามาดูตัวเอกของเรื่อง นั่นคือ Sigen Energy Controller (EC) ซึ่งเป็นสมองกลที่ควบคุมทุกอย่างในระบบ SigenStor มันทำหน้าที่มากกว่าอินเวอร์เตอร์ทั่วไป เพราะมันคือศูนย์กลางที่จัดการพลังงานจากทุกแหล่ง ทั้งจากแผงโซลาร์ แบตเตอรี่ และสายส่งของการไฟฟ้าฯ รวมถึงเป็นตัวกลางในการสื่อสารข้อมูลทั้งหมดไปยังแอปพลิเคชัน mySigen บนมือถือของเรา
  • สำหรับบ้านในประเทศไทย รุ่นที่น่าสนใจที่สุดคือ Single Phase (1 เฟส) ซึ่งมีให้เลือกหลักๆ 2 ขนาด คือ 5.0 SP และ 10.0 SP เรามาดูสเปคเทียบกันแบบชัดๆ เพื่อให้เห็นว่ารุ่นไหนจะเหมาะกับบ้านของคุณ

ตารางเปรียบเทียบสเปคทางเทคนิค: SigenStor EC 5.0 SP vs. EC 10.0 SP

 

Specification (สเปค)

SigenStor EC 5.0 SP

SigenStor EC 10.0 SP

ความหมายสำหรับบ้านของคุณ

Nominal AC Output Power (กำลังไฟ AC ปกติ)

5,000 W

10,000 W

คือกำลังไฟที่จ่ายให้เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านได้ ต่อเนื่อง รุ่น 10.0 SP เหมาะกับบ้านขนาดใหญ่ที่อาจเปิดแอร์หลายตัวพร้อมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ

Max. PV Power (กำลังไฟแผงสูงสุดที่รองรับ)

10,000 W

20,000 W

คือปริมาณแผงโซลาร์ที่สามารถติดตั้งเข้าระบบได้สูงสุด ยิ่งมากก็ยิ่งมีโอกาสผลิตไฟฟ้าได้เยอะตลอดทั้งวัน

DC:AC Ratio (อัตราส่วน DC ต่อ AC)

2.0

2.0

(จุดเด่นสำคัญ) รองรับแผงได้มากกว่ากำลังของอินเวอร์เตอร์ถึง 2 เท่า ช่วยให้ผลิตไฟได้เต็มที่ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ไม่ใช่แค่ช่วงแดดจัดตอนเที่ยง

Number of MPP Trackers (จำนวน MPPT)

2

4

เพิ่มความยืดหยุ่นในการออกแบบการวางแผงบนหลังคาที่มีหลายทิศทาง (เช่น หันไปทางทิศตะวันออกและตะวันตก) เพื่อให้แต่ละชุดแผงทำงานได้เต็มประสิทธิภาพสูงสุด

Max Input Current per MPPT (กระแสสูงสุดต่อ MPPT)

16 A

16 A

รองรับแผงโซลาร์เซลล์รุ่นใหม่ๆ ที่มีกำลังวัตต์สูงและจ่ายกระแสไฟได้มาก

Peak Output Power (Backup) (กำลังไฟสูงสุดชั่วขณะ)

7,500 W (10 วินาที)

15,000 W (10 วินาที)

กำลังไฟ "กระชาก" ที่จ่ายได้ตอนไฟดับ สำคัญมากสำหรับการสตาร์ทอุปกรณ์ที่กินไฟสูง เช่น มอเตอร์ปั๊มน้ำ หรือคอมเพรสเซอร์แอร์

Max. Efficiency (ประสิทธิภาพสูงสุด)

98.0%

97.6%

ประสิทธิภาพในการแปลงไฟสูงมาก หมายความว่าพลังงานที่ผลิตได้จะสูญเสียน้อยที่สุดระหว่างการแปลงไฟ

Dimensions (W/H/D) (ขนาด)

700 x 300 x 245 มม.

700 x 300 x 260 มม.

ตัวเครื่องมีขนาดต่างกันนิดหน่อย

Weight (น้ำหนัก)

18 กก.

36 กก.

น้ำหนักเบาและเท่ากันทั้งสองรุ่น ทำให้การติดตั้งสะดวก

 

 ♦ ถอดรหัสสเปค: พลังที่มากกว่า แค่ตัวเลข

 

จากตารางข้างบน มีจุดที่น่าสนใจและเป็นจุดขายที่แข็งแกร่งของ SigenStor อยู่ 2-3 ประเด็นที่ต้องขยายความเพิ่มเติม

จุดเด่นที่ 1: อัตราส่วน DC:AC สูงถึง 2:1

คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่าอินเวอร์เตอร์ 5 kW จะติดแผงได้แค่ 5 kW เท่านั้น แต่ในความเป็นจริง การ "Oversize" หรือการติดตั้งแผงโซลาร์ให้มีกำลังผลิตรวม (ฝั่ง DC) มากกว่ากำลังของอินเวอร์เตอร์ (ฝั่ง AC) เป็นเทคนิคที่มืออาชีพใช้กันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพลังงานโดยรวม

→ SigenStor EC 5.0 SP สามารถรองรับแผงได้ถึง 10,000 W (หรือ 10 kW) ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วน 2:1 ประโยชน์มหาศาลของมันคือ อินเวอร์เตอร์จะสามารถทำงานที่ประสิทธิภาพสูงสุดได้เป็นเวลานานขึ้นตลอดทั้งวัน ไม่ใช่แค่ช่วงสั้นๆ ตอนแดดเปรี้ยงตอนเที่ยง ผลลัพธ์ที่ได้คือ "กราฟการผลิตไฟฟ้าที่อ้วนและแบนกว่า" หมายความว่าคุณจะผลิตพลังงาน (kWh) ได้มากขึ้นในช่วงเช้าและบ่าย ซึ่งเป็นช่วงที่หลายบ้านเริ่มใช้ไฟฟ้ากันแล้ว รวมถึงในวันที่มีเมฆมากซึ่งเป็นเรื่องปกติของสภาพอากาศในประเทศไทย การออกแบบเช่นนี้ทำให้คุณใช้พื้นที่บนหลังคาได้คุ้มค่าและคืนทุนได้เร็วยิ่งขึ้น

 

จุดเด่นที่ 2: ข้อดีของการเป็น DC Coupled ใน SigenStor 

→ เมื่อเราติดตั้ง ฝั่ง DC เยอะ หรือ Oversize ได้ ก็คือ มันมีฟังก์ชั่น DC Coupled นั่นเอง : สมมติว่าSigenStor EC 5.0 SP ตัว 5 kW.  เราติดตั้งแผงเต็มที่ (200%) 10 kWp.  ตอนกลางวัน 11โมงถึงบ่ายโมง แดดเปรี้ยงๆเลย อินเวอร์เตอร์แปลงไฟจาก DC เป็น AC แม๊กสุดล่ะ ก็ได้เต็มที่เลย 5 kW. แล้วสมมติ (ซ้อนสมมติ) อีกว่าผลิตไฟ DC ได้ 8 kW. ที่เหลือ 3 kW. นี่แหล่ะ ที่เอาไปชาร์จเข้าแบตเตอรี่ หรือส่งไป EV Charge โดยตรงเลย ก็ทำให้เราได้ประโยชน์สูงสุด ไม่สูญเปล่านั่นเอง 

→ ข้อดีของการเป็น DC Coupled ใน SigenStor มีอะไรบ้าง?
ประสิทธิภาพสูงกว่า (Higher Efficiency): เพราะมีการแปลงไฟน้อยครั้งที่สุด! เมื่อเราจะดึงไฟจากแบตเตอรี่มาใช้ตอนกลางคืน มันมีการแปลงไฟแค่ครั้งเดียวคือจาก DC (ในแบต) -> AC (เข้าบ้าน) เท่านั้น ทำให้การสูญเสียพลังงานระหว่างทางน้อยมากๆ เหมือนวิ่งรถบนไฮเวย์ที่ด่านเก็บเงินน้อยนั่นเองครับ

→ ตอบสนองเร็วกว่า (Faster Response): เพราะทุกอย่างอยู่บน "ถนนไฮเวย์" เดียวกัน การจัดการพลังงานจึงเกิดขึ้นได้ทันที นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้ SigenStor สามารถสลับโหมดไฟสำรองได้ในเวลา 0 มิลลิวินาที เพราะมันไม่ต้องรอสลับระบบที่ซับซ้อน

 

จุดเด่นที่ 3: MPPT หลายตัวเพื่อความยืดหยุ่นสูงสุด

→ บ้านสมัยใหม่ในไทยมักมีดีไซน์หลังคาที่ซับซ้อน อาจมีหลายระนาบ หลายทิศทาง การที่ SigenStor EC 5.0 SP มี 2 MPPT และรุ่น 10.0 SP มีถึง 4 MPPT ถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างมาก มันช่วยให้ผู้ออกแบบสามารถแยกกลุ่มแผงที่อยู่คนละทิศทาง (เช่น กลุ่มที่หันไปทิศตะวันออกเพื่อรับแดดเช้า และกลุ่มที่หันไปทิศตะวันตกเพื่อรับแดดบ่าย) หรือกลุ่มแผงที่อาจโดนเงาบังในบางเวลา ออกจากกันได้อย่างอิสระ ทำให้แผงทุกกลุ่มสามารถทำงานได้เต็มศักยภาพของตัวเองโดยไม่ถูกฉุดรั้งจากกลุ่มอื่นที่ประสิทธิภาพต่ำกว่า

การต่ออนุกรมสตริง หากต่อใน MPPT เดียวกัน ควรต้องอยู่ในทิศรับแสงเดียวกัน เพื่อความสมดุลย์ของแรงดันและกระแสไฟฟ้า ในสตริงเดียวกัน ซึ่งจะทำให้มีประสิทธิภาพการผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ดี  โดยหากบ้านของเรามีพื้นที่หลังคาแต่ละทิศ ติดแผงได้น้อย แต่มีทิศทางการรับแสงมาก เช่น 4 ทิศ เป็นต้น หากเราใช้ Sigenergy i6jo 10 kW. เราก็สามารถติดตั้งแผง ได้ทั้ง 4 ทิศ ดดยไม่มีผลให้ประสิทธิภาพลดลง เพราะรุ่น 10 kW. มีมากถึง 4 MPPT

ตอนหน้ามาพบกับ Sigenergy EP3  ลงรายละเอียดถึงคุณสมบัติเด่นอื่นๆ ที่มีประโยชน์กับผู้ใช้ไฟ และผู้ติดตั้งกันต่อไป